อย่างที่ได้เกริ่นเอาไว้ให้ทุกท่านฟังแล้วว่าช่วงปลายเดือนที่แล้วเป็นช่วงที่พิมตั้งใจะไปเก็บตัวที่กาญจนบุรีแต่ด้วยวิกฤติน้ำท่วมที่รุนแรง ทำให้คอร์สถูกยกเลิก จึงทำให้พิมลี้ภัยมาอยู่ที่ศรีราชากับเพื่อนสนิทแทนไหน ๆ ก็ตั้งใจที่จะไปปฏิบัติธรรมแล้ว เราสองคนจึงคิดว่าลองหาที่ที่เหมาะสมในชลบุรีนี้ดูก็ได้มีเวลาว่างตั้งเป็นสัปดาห์ (หรืออาจยาวกว่านั้น...) เราสามารถแบ่งเวลาไปอยู่วัดได้ 5-7 วันเลยทีเดียว------------ปีที่แล้วที่อเมซอน จำได้ว่ามีวันนึงก่อนแว๊บออกมา เพื่อไปฟังธรรมที่บ้านอารีย์ต่อพี่สามบีสมาชิกเวบคนรักมีดท่านนึงแซวว่า "ไปทำไมฟังธรรม" "ทำไมต้องไปให้เค้าสอน สอนตัวเองไม่ได้หรือ..."พิมได้แต่ยิ้ม ๆ ไปไม่ถูก ถึงกับต้องเรียกแท๊กซี่กันเลยที่เดียว 555บางที... ถ้าเรามองว่าร่างกายของเรานี้เปรียบเหมือนที่อาศัย...เช่น บ้านใคร ๆ ก็คงอยากอยู่บ้านที่สะอาด ร่มรื่น บรรยากาศดี มองไปทางไหนก็เจริญตาเจริญใจการทำความสะอาดร่างกายทุกวัน ก็เหมือนการทำความสะอาดบ้าน การประดับตกแต่งร่างกายด้วยข้าวของสวย ๆ งาม ๆ ก็เหมือนเราตกแต่งบ้านให้หรูหราอู้ฟู่แล้วแต่รสนิยม... อันนี้ทุกคนเข้าใจง่าย ...ส่วนการทำความสะอาดใจ เสมือนการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับบ้านยกตัวอย่างเช่น เราทุ่มสตางค์สร้างบ้านหมดไปเสียหลายหลัก แต่บ้านกลับตั้งอยู่ในทำเลไม่เหมาะอยู่ติดร้านคาราโอเกะ อยู่ในชุมชนแออัด อยู่ล้อมรอบไปด้วยน้ำครำ อยู่ในดงโจร ฯลฯบ้านเราสวยและสะอาดก็จริง แต่ทว่าบรรยากาศรอบบ้านและในบ้านกลับอึกทึกวุ่ยวาย และร้อนรุ่ม......บ้านนั้น ก็ไม่ปลอดภัย ไม่น่าอยู่...ฉันใดก็ฉันนั้นการไปฟังธรรม...คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปราชญ์เอกของโลกพระองค์หนึ่งสำหรับพิมแล้ว ก็เสมือนการไปเรียนสูตรการทำความสะอาดบ้าน สูตรยารักษาโรคเราได้รู้จักสารต่าง ๆ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เหมาะกับสภาวะ และอาการต่าง ๆ กันไปไว้ให้เราเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบ้าน และบรรยากาศบ้านของเรา...ถามว่า ไปฟังธรรม หรือ ไปวัดแล้ว... ชีวิตดีขึ้นเลยมั้ย ?ตอบได้ทันใดว่า...ยังจนกว่าเราจะได้ทดลองและตั้งใจผสมสูตรและทดลองใช้ ทดลองทำจริง ๆ นั่นแหละ เราจึงค่อย ๆ เห็นผลส่วนการปลีกวิเวกไปอยู่วัดไปปฏิบัติธรรมเป็นครั้งเป็นคราวสำหรับพิม เป็นการเว้นวรรค เว้นจังหวะ ให้ชีวิต ตัวหนังสือที่เขียนติดกันเป็นพรืดไม่เว้นวรรคจะทำให้อ่านยาก และอึดอัดชีวิตที่ไม่มีการหยุดพักและทบทวน ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันการหยุดพักเว้นวรรคให้กับชีวิตโดยการท่องเที่ยวและการปฏิบัติธรรมต่างกันอยู่ตรงที่ว่า...การเที่ยว... ใจได้พักจากความคิด แต่จิตก็ยังแส่ส่ายเพราะส่งออกนอกไปกับสิ่งเร้าต่าง ๆ การปฏิบัติธรรม... ใจได้พักความคิด และจิตได้พบกับความว่าง ได้เห็น ได้รู้จัก "เพื่อน" อีกคนนึงที่อยู่กับเราตลอดเวลา แต่เราไม่เคยทำความรู้จักเค้าเลย..."เพื่อน" คนนั้นก็คือ "ลมหายใจ" ...นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นการฝึกตนเองทั้งกายและใจให้บ้านหลังนอก กับ บรรยากาศภายใน ไปด้วยกันได้อย่างกลมกลืนบ้านหลังนอก...ร่างกาย เป็นมนุษย์ แล้วบรรยากาศภายใน...จิตใจ ก็ควรเป็นมนุษย์ด้วย ...กายใจที่ผนวกมาเป็นหนึ่งชีวิตนั้นจึงจะพบความสมดุลที่แท้จริง...-----------------------...เอาอีกแล้ว... ยัยคนนี้ร่ายยาวอีกแล้วมีเวลาตกผลึกเมื่อไหร่ ยัยคนนี้จะมีภาวะศิลปินเข้าสิงสู่ (เหมือนผีอีเม้ย...)อย่านะ อย่าเข้ามานะ... ชั้นมีพระ ! 555...กลับเข้ามาเรื่องเดิม...ไปอยู่วัดคราวนี้ เรามีสองตัวเลือกคือ วัดถ้ำยายปริก บนเกาะสีชัง ซึ่งจากที่ไปสำรวจมาแล้ว น่าอยู่ บรรยากาศสัปปายะมาก ๆ แต่ติดตรงที่ว่าวัดอยู่บนเกาะ สภาวะน้ำท่วมกรุงเทพฯ แบบนี้ หากมีเรื่องฉุกเฉินที่ร้านขึ้นมากลัวจะข้ามเรือกลับมาไม่ทันใจเราจึงเลือกตัวเลือกที่สอง คือวัดป่าวชิรบรรพต ตั้งอยู่บนเขาปากแรตต.หนองข้างคอก อ.เมือง จ.ชลบุรีวัดป่าวชิระบรรพตนี้เริ่มแรกเดิมทีเป็นเพียงที่พำนักสงฆ์โดยผู้ก่อตั้ง...อาจารย์สู พรหมเชยธีระ นั้นมีความประสงฆ์ที่จะให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่เผนแผ่พระพุทธศาสนาสืบไปจนเมื่อเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว พระอาจารย์ ธมฺมวุฑฺโฒตอง พระสุปฏิปัณโณอีกท่านหนึ่ง...ท่านได้ธุดงค์ผ่านมา และเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมจึงเข้ามาขออยู่ปฏิบัติสักระยะหนึ่ง โดยคงรักษาวัตรปฏิบัติ 3 ข้ออย่างเคร่งครัด นั่นคือ1. บิณฑบาต เลี้ยงชีพ2. ฉันวันละมื้อเดียว3. ไม่จับหรือมีปัจจัย(เงิน)ไว้ในครอบครองจากวันสู่เดือน เดือนสู่ปี หลวงพ่อก็ยังคงรักษาวัตรปฏิบัติและดำเนินตามปฏิปทาของสงฆ์อย่างสม่ำเสมอชาวบ้านร้านถิ่นจึงเกิดความศรัทธาเพิ่มมากขึ้น ๆ ใส่บาตรมากขึ้น ทำบุญมากขึ้น วันพระก็พากันขึ้นเขามาทำบุญสวดมนต์กันจนแน่นศาลาพอหลวงพ่อเริ่มเทศน์สอนญาติโยม ก็มีคนเข้ามาปฏิบัติะรรมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายปีผ่านไป...กระทั่งเมื่อปัจจัยทุกอย่างเอื้ออำนวยที่พำนักสงฆ์สงฆ์เล็กจึงได้กลายมาเป็น วัดป่าวชิระบรรพตโดยมีพระมหาตอง ธมฺมวุฑฺโฒ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายในวัดนี้ก็เน้นหลักการเรียบง่าย แต่ได้ประโยชน์สูงทั้งโบสถ์ ศาลา หอไตร กุฏิ และที่พักผู้ปฏิบัติธรรม...โบสถ์...หอไตร...---------------------...ที่พักของผู้ปฏิบัติธรรมหญิง...(ชานระเเบียง หน้าห้องพักของพิมเอง....)--------------การมาขอปฏิบัติพักค้างที่นี่ก็ไม่ยากเย็นเลยค่ะวันที่พิมมาถึง ก็พบหลวงพ่อตอง ท่านเจ้าอาวาสนั่งรับแขกอยู่พอดีกำลังคิดว่าจะบอกหลวงพ่อว่าอย่างไรดีเรื่องมาขอพักค้างปฏิบัติธรรม... คิดอยู่ตั้งหลายอย่างพอหลวงพ่อเห็น ก็ถามว่า "ว่ายังไง"ตอบท่านไปว่า "จะมาขอปฏิบัติธรรม..." แล้วก็จะอธิบายอะไร ต่อมิอะไรที่คิดไว้ยังไม่ทันพูด หลวงพ่อก็บอกว่า "เอ้า... งั้นก็ไปเปลี่ยนชุด แล้วมารับศีล..."วุ้ย... ทำไมมันง่ายอย่างนี้ ไม่ต้องเช็คประวัติกันหรือไร ?ประมาณว่า เจ้าเป็นลูกใครเหล่าเต้า มาจากไหน ทำไมถึงบวช ฯลฯ สมกับที่พี่ที่เค้าแนะนำให้มาที่นี่ ว่าหลวงพ่อท่านมีเมตตามากจนกระทั่งรับศีลเสร็จแล้วนั่นแหละ ท่านถึงได้สนทนาไต่ตามถึงประวัติกัน...สอบถามถึงการปฏิบัติ...ท่านบอกว่า ก็ทำ ๆ ตามเค้าไป เดี๋ยวก็รู้เอง...หลวงพ่อให้หนังสือมา 1 เล่ม... "ศีล" การเดินทางสู่ความสุข ท่านถามเลย "รู้มั้ยว่า ศีล คืออะไร"นั่งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ตอบไม่ถูก... (เป็นไงล่ะ แม่คน "ปฏิบัติธรรม" เจอคำถามแรกไป ก็ตกม้าตายเสียแล้ว...)"เอ้า เปิดไปหน้าหนึ่งแล้วอ่านเลย" หลวงพ่อสั่ง...ศีล คือ ความสำรวมกาย วาจาให้เรียบร้อยศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ที่ออกมาทางคำพูด ทางการกระทำ"...เพียง "ศีล" เรื่องที่เราคิดว่าเรารู้จักดีแล้ว รักษาดีแล้ว หลวงพ่อยังอธิบาย ให้ความกระจ่าง และเน้นให้รักษาศีลให้มั่นเป็นเบื้องต้นก่อนเพียงการนั่งสนทนากับท่านมหาตอง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้รู้ ได้เห็นอะไร ๆ มากมาย และได้สัมผัสความเมตตาของท่าน...นี่แหละ หน้าที่ของพระสงฆ์ ต่อฆราวาส ที่แท้จริง ... "ให้ธรรมะ" ...โดยรวมแล้ว การมาปฏิบัติธรรมที่นี่ ไม่มีข้อกำหนด หรือระเบียบที่เคร่งครัดหรืออยู่ในรูปแบบมากเกินไปผู้มาปฏิบัติควรต้องมีความรู้ หรือแนวทางการปฏิบัติพื้นฐานมาบ้างก่อนแล้วเนื่องจากที่นี่ไม่เน้นสอนแนวทางใด แนวทางหนึ่ง แต่จะช่วยเอื้อเฟื้อปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติเช่น สถานที่สวดมนต์ ที่พัก ที่สะดวกสัปปายะ อาหาร น้ำ ไฟ โดย สิ่งที่ต้องปฏิบัติรวมกันทุกวัน คือการสวดมนต์ ทำวัตร เช้า-เย็น ทานอาหารและงานทำความสะอาดวัดตามแต่จะถนัดกันไปเพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งใจจะมาปฏิบัติภาวนาควรต้องมีแนวทางของตนเองมาแล้วบ้างเวลาที่เหลือ เป็นเวลาการปฏิบัติส่วนตัวใครใคร่นั่ง...นั่งใครใคร่ยืน...ยืนใครใคร่เดิน...เดินใครใคร่ทำความสะอาด...ก็ทำ...---------------------ทุกวันพระสงฆืที่นี่จะเดินบิณฑบาตตั้งแต่ฟ้าเริ่มสางเหล่าผู้ปฏิบัติก็ได้อานิสงฆ์จากข้าวก้นบาตรและอาหารญาติโยมนำมาถวายที่วัดกันเดินต่อแถวตักอาหารมื้อแรก...ตกกะใจ อย่างแรง !ก็ภาชนะใส่อาหารที่นี่ คือ "กาละมัง" กาละมังจริง ๆ ค่ะ ทั้งรูปทรงและขนาดใหญ่สะใจสงสัยว่าพระท่านกลัวผู้ปฏิบัติจะหิว ก็กินวันละมื้อเหมือนกันนี่นา...อิอิ--------------------เสร็จจากทานอาหารเช้าก็ช่วยกันล้างจาน ล้างหม้อ ล้างไห...พระอิ่ม คนอิ่ม ... ก็ได้เวลาของน้องหมาบ้าง...ขวัญใจน้องหมามาแว้วววววว....แม่ตัวนี้ตาบอดค่ะ ต้องผูกไว้ให้อยู่กับที่ ไม่อย่างงั้นสะเปะสะปะไป จะโดนตัวอื่นกัดเสียการมาอยู่วัดที่นี่ ต้องมีวินัยในตัวเองอย่างมาก เนื่องจากทางวัดไม่เคร่งครัด ไม่กำหนดกติกามากมายหากหลง หรือเผลอ ๆ ไปนั่งเม้าส์กับคนอื่นเพลิน ก็จะสูญเวลาที่จะใช้เจริญภาวนาไปมากทีเดียว------------------------มาวัดครั้งนี้ได้มีโอกาสผจญภัยเล็ก ๆ ด้วยพี่ที่มาปฏิบัติที่นี่พร้อม ๆ กัน เธอเป็นศิษย์ก้นกุฏิที่นี่ ด้วยความที่ว่างเพราะมีหอพักให้เช่าเป็นของตัวเอง จึงมาอยู่วัดบ่อย ๆ มาก ๆ (น่าอิจฉา...)วันก่อนจะกลับบ้านหนึ่งวัน ก็ชวนกันขึ้นเขาปากแรต ที่อยู่สูงขึ้นไปจากวัดประมาณ 2 กิโลพิมรีบตกลง เพราะอยากขึ้นไปเห็นที่ที่เป็นประวัติศาสตร์ยุคบุกเบิกของวัดนี้กับตาตัวเองเหมือนกัน...รวมพลเสร็จสรรพนับได้ 9 หญิง เตรียมเสบียงน้ำดื่ม ยากันยุงแล้ว ก็ลุยกันเล้ย...หนทางก็ไม่โหดมาก มีบันไดหินเป็นระยะ ๆ แต่ต้องฝ่าพงหญ้ารก ๆ ไปเรื่อย ๆ งูไม่กลัว...กลัวมด มันกัดเจ็บมากกกกกกมาลองขึ้นเขา หนทางชิลเด้น ๆ แบบนี้แล้วตอนนี้ถ้าใครมาชวนไปทริปเดินป่า ตอบได้ทีนทีว่า...ขอผ่าน รู้แล้วว่าไม่ใช่แนวเราเลย งือ งือ...แต่ในที่สุดเราก็เดินมาถึงจุดหมาย ได้เคารพเจดีย์บรรจุอัฐิของหลวงพ่อเชย พระปฏิบัติองค์แรก ผู้ที่อาจารย์สูนับถือเป็นครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ที่ชอบทำตัวแปลก ๆ เช่น เดินเก็บขยะตามทาง นอนในโกดังเก็บศพจนใคร ๆ ที่ไม่รู้ พากันเรียกท่านว่า "หลวงตาเชยบ้า"เบื้องลึกผ่านภาพมายานั้น ท่านเป็นพระนักปฏิบัติภาวนา และมีเมตตาสูง ตามคำบอกเล่า เค้าว่าท่านสามารถเทน้ำใส่ฝ่ามือให้งูเห่ามากินน้ำได้เลยกระนั้น...ในบั้นปลาย ท่านมาพำนักบนเขาปากแรตแห่งนี้ และมรณะภาพที่นี่เมื่อฌาปนกิจศพท่านแล้ว ปรากฎว่าสรีระของท่านกลายเป็นธาตุสีสันสวยงามมากมายบนนั้นยังมีเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของอาจารย์สู และพระเขมรอีก 2 รูป ที่ปฏิบัติภาวนาอย่างเข้มข้น จนกระทั่งมรณภาพบนยอดเขาแห่งนี้เช่นกัน------------------เราได้มาถึงอดีตกุฏิ 2 ชั้น ที่เคยเป็นที่พำนักของพระสงฆ์ ก่อนที่สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นวัดอย่างเต็มรูปแบบในภายหลังชั้นบนเป็นห้องพระ ที่เงียบสงบพวกเราน้อมจิตระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และน้อมกราบด้วยความเคารพสูงสุดเมื่อบรรยากาศที่เงียบสงบเอื้ออำนวยจนถึงขนาดนี้เราจึงชักชวนกัน นั่งสมาธิ ทำความสงบใจสักครู่ ...ความสงบเงียบทั้งภายนอกและภายใน มันเป็นสุขเช่นนี้เอง...พวกเราถ่ายรูปรวมกันเป็นที่ระลึกถึงการผจญภัยไปสู่ความสุขสงบ ในครั้งนี้ด้วย-------------ไม่เคยคิดฝันมาก่อน ว่าลูกผู้หญิงอย่างเราจะมีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์ติดตามพระไปบิณฑบาตด้วยแฮะเรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...เช้าวันที่สอง หลังจากที่ทำวัตรเช้าแล้ว...ขณะที่พระสงฆ์เตรียมตัวบิณฑบาต พิมสังเกตุเห็นผู้ปฏิบัติหญิงหลายคนเตรียมสะพายย่าม......ผู้หญิงเป็นลูกศิษย์ได้ด้วย...เร็วเท่าความคิด... พิมรีบเดินเข้าไปขออนุญาตเดินตามหลวงพ่อด้วย"จะไหวหรือ ต้องถอดรองเท้าเดินนะ" ท้วง...ด้วยความเมตตา"ค่ะ ต้องลองดู" ตอบ อย่างคนอยากรู้อยากลอง"พื้น มันเป็นกรวด เป็นหินนะ มีถุงเท้ามั้ยล่ะ ใส่ถุงเท้าได้" แนะอีกครั้ง ด้วยเห็นว่าเป็นชาวกรุงที่ฝ่าเท้าไม่เคยสัมผัสความหยาบของถนนกรวด"ถุงเท้าไม่มีค่ะ ไม่ได้เตรียมมา แต่คงค่อย ๆ เดินตามไปได้..." ตัดสินใจแล้ว ต้องทำ...ปฏิบัติการ ลูกศิษย์ตามบิณฑบาตครั้งแรกในครั้งชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น ขณะที่ฟ้าเริ่มสางด้วยวัยประมาณ 50 กว่า ๆ หลวงพ่อเดินนำลิ่ว ๆ ลูกศิษย์เก่าเดินตามไปติด ๆ ...รั้งท้ายด้วยแม่พิมผู้กระย่องกระแย่งด้วยระคายเท้าเหลือประมาณ แต่ใจสิเกินร้อย หลวงพ่อหันมามองลูกศิษย์เป็นปลายแถวระยะ ๆ พลางบอกทุกครั้ง "ไหวมั้ย ? ไม่ไหวกลับก่อนได้นะ "แรก ๆ ก็ไม่ยอมกลับเพราะใจยังสู้แต่ตอนหลังที่ไม่กลับเพราะว่า ... กลับไม่ถูก ! ก็เส้นทางบิณฑบาตของท่านนั้น จากทีแรกที่เดินถนนหน้าวัดไปแล้วก็ผ่านเส้นทางบุกป่า ฝ่าสวน ลุยลำธาร ฯลฯ ลัดเลาะไปเรื่อย ไม่มีทิศทางทีแน่นอนแต่ทุกที่ที่หลวงพ่อเดิน นั่นคือที่ที่มีโยมขาประจำนิมนต์ท่านไว้ทั้งสิ้น---------------------------นึกอนุโมทนาไปด้วยทุกครั้งที่เห็นญาติโยมผู้มีศรัทธา นั่งรอ ยืนรอเพื่อจะถวายข้าวสุก ที่บรรจงคดมาจากปากหม้อข้าว ข้าวที่เมล็ดสวยที่สุดถวายแด่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ...ทั้งสะพายย่าม ทั้งเก็บภาพ ทั้งต้องคอยมองหลบหินและกรวดอันแหลมคม และต้องหนีฝูงหมาใหญ่น้อยสติ ลมหายใจ และการตามความรู้สึก ที่ฝึกมาดีแล้ว ถูกงัดนำมาใช้ในเวลานี้นี่เอง-----------------ในที่สุด ในที่สุด... เราก็ออกมาสู่ท้องถนนอีกครั้งไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะดีใจที่ได้เดินบนถนนคอนกรีตด้วยเท้าเปล่า !สิ่งนี้ทำให้ได้แง่คิดว่า... เราไม่เคยรู้หรอกว่าสิ่งที่เราได้รับ หรือเผชิญในทุกวันนี้ มันเป็นโชคดีแค่ไหนแล้ว จนกว่าเราไปเจอสิ่งที่แย่กว่าก็การเดินเท้าเปล่าบนพื้นคอนกรีตว่าแข็งและเจ็บแล้ว...ไปเดินบนพื้นหินพื้นกรวดปุ๊บ รู้เลยว่าที่แท้พื้นคอนกรีตนั้นคือสวรรค์ดี ๆ นี่เอง พ่อค้าแม่ค้ามอเตอร์ไซด์ รีบจอดรถ เพื่อใส่บาตรด้วยนึกอนุโมทนาด้วยจริง ๆ ในที่สุดเราก็กลับมาถึงวัดโดยสวัสดิภาพเท้าเรา ที่ปกติกลมสั้นและมู่ทู่อยู่แล้วเจองานนี้เข้าไป สภาพดูไม่ได้กันเลยทีเดียว... เฮ้อ !-------------------------ในการมาอยู่วัดนั้น สำหรับแต่ละคนก็ล้วนมีจุดประสงค์และความหมายแตกต่างกันไปบ้างสำหรับพิมแล้ว... เป็นเหมือนการมาเก็บตัวเพื่อฝึกสติให้รู้เท่าทันในปัจจุบันขณะใจที่กว้างและว่างพอ จะสามารถจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี และรวดเร็วกว่าใจที่แคบและทึมทึมหากท่านใดพอมีเวลา และรู้สึกว่าอยากพัก "จิต" พัก "ใจ" ที่แท้...การลองมาฝึกปฏิบัติภาวนาที่วัดหรือสำนักปฏิบัติธรรม ก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยหากลองดูแล้ว มันเวิร์ค ท่านจะพบว่า... ชีวิตท่านจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปในทางใดทางหนึ่ง หากไม่เวิร์ค ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเสีย ก็แค่เวลาเพียง 3-5 วันเท่านั้น ... น้ำท่วมยังเสียเวลามากกว่านี้ ...สุดท้ายก่อนกลับ... พระอาจารย์ตองย้ำว่า จะกลับบ้าน ไม่ต้องลาศีลนะ ให้นำศีลกลับบ้านไปด้วย...ศีล คือ ความสำรวมกาย วาจาให้เรียบร้อยศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ที่ออกมาทางคำพูด ทางการกระทำ"......ศีล คือการทำให้เราเป็นมนุษย์ที่ปกติ...สรุปส่งท้ายในวันที่จะออกจากวัด...การปฏิบัติธรรม มิใช่การสร้างปาฏิหาริย์ หรือการชุมนุมเพื่อศรัทธาที่งมงายหากแต่เป็นการปฏิบัติเพื่อฝึกฝนตน ทั้งกายและใจ...มิให้เป็น อสูรกายในร่างคน...มิให้เป็น อมนุษย์ในร่างคน...มิให้เป็น เดรัจฉานในร่างคนหากแต่ให้เป็น "มนุษย์" ทั้งใจและกายมน = ใจ , อุษยะ = สูง... มนุษย์ = ผู้มีจิตใจสูง ...และทุกอย่างเริ่มต้นที่ ศีล - สมาธิ - ปัญญาทุกวันนี้ ตื่นเช้ามาทุกครั้ง...พิมก็ถามตัวเองบ่อย ๆ ... "วันนี้เราเป็นมนุษย์แล้วหรือยัง ?"--------------------หนหน้าจะพาไปตะลอนที่ไหน... โปรดติดตามชมนะค้าาาาาาา...